วัดพระธรรมกาย
ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง
จังหวัดปทุมธานี ๑๒๑๒๐
๙ ธันวาคม ๒๕๕๙
เรื่อง กราบบังคมทูลฯ ถวายฎีการ้องทุกข์
ขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ระงับเหตุรุนแรงอันจะบังเกิดขึ้นได้ ระหว่างผู้ถือครองอำนาจรัฐกับสถาบันพระพุทธศาสนา
กราบบังคมทูลฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร ที่เคารพรักยิ่งของปวงชนชาวไทย
ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าพสกนิกรผู้มีรายนามข้างท้ายนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูล
เพื่อทรงทราบถึงความทุกข์ร้อนแสนสาหัส ดังนี้
๑.
วัดพระธรรมกายมีจุดเริ่มต้นจากคุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูง ศิษย์เอกด้านธรรมปฏิบัติของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) ได้สอนธรรมปฏิบัติแก่ศิษยานุศิษย์
ในจำนวนนั้นมีพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมฺมชโย) ซึ่งได้มาปฏิบัติธรรมกับคุณยายอาจารย์อย่างสม่ำเสมอทุกวันตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๐๖ เมื่อเรียนจบคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
จึงได้ตั้งใจบรรพชาอุปสมบทตลอดชีวิต เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๒ ต่อมาได้รับบริจาคที่ดินจานวน ๑๙๖ ไร่ จากคุณหญิงประหยัด
แพทยพงศาวิสุทธาธิบดี จึงได้บุกเบิกสร้างเป็นวัดพระธรรมกายขึ้น ศิษยานุศิษย์ท่านอื่นๆของคุณยายอาจารย์ก็ได้ทยอยอุปสมบทเพิ่มขึ้นตามลำดับ
เมื่อเสนาสนะมีความพร้อมในระดับหนึ่งแล้วจึงได้ยื่นเรื่องขอจัดตั้งเป็นวัด และได้รับอนุญาตจัดตั้งเป็นวัดอย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ โดยมีพระอธิการไชยบูลย์
ธัมฺมชโย เป็นเจ้าอาวาส ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างอุโบสถ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม
๒๕๒๐ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์เสด็จแทนพระองค์ (สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑) นอกจากนี้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ได้เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อพระประธานเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๒๒
(สิ่งที่ส่งมาด้วย ๒) และยังได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พระอธิการไชยบูลย์
ธัมฺมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระเผด็จ ทัตฺตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อรับพระราชทานทุนทรัพย์บำรุงวัด เมื่อวันที่ ๖ มกราคม
๒๕๒๕ ณ พระราชวังสระปทุม (สิ่งที่ส่งมาด้วย ๓) และตรัสมอบหมายให้ช่วยกันอบรมศีลธรรมแก่เยาวชนของชาติให้กว้างขวางด้วย ซึ่งทั้งเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก็ได้น้อมรับพระราชดำรัส
และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่พระธรรมแก่เยาวชนอย่างเต็มกำลังตลอดมา
นอกจากนี้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ได้เสด็จบำเพ็ญพระราชกุศล
ถวายปัจจัยบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการส่วนพระองค์ ณ วัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม
๒๕๒๗ (สิ่งที่ส่งมาด้วย ๔)
และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จเป็นองค์ประธานในงานทอดกฐินสามัคคี
ณ วัดพระธรรมกายเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ (สิ่งที่ส่งมาด้วย ๕) และเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อรูปเหมือนทองคำพระมงคลเทพมุนี
(สด จันฺทสโร) เมื่อวันมาฆบูชา ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ณ วัดพระธรรมกาย
๒. ด้วยพระบารมีของพระบรมราชจักรีวงศ์
การทำงานของวัดพระธรรมกายได้ก้าวหน้ามาโดยลำดับ โดยพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมฺมชโย) เจ้าอาวาสได้นำคณะสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา
และคณะศิษยานุศิษย์ ทุ่มเททำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ปลูกฝังศีลธรรมแก่ประชาชนและเยาวชนอย่างเต็มกำลังสนองพระราชดำริ
ฯ มีกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาจำนวนมาก อาทิ
- ร่วมกับคณะสงฆ์ทั่วประเทศจัดโครงการอุปสมบทหมู่ ๑๐๐,๐๐๐
รูปทุกหมู่บ้านทั่วไทย ปีละ ๒ ครั้ง
- ร่วมกับคณะสงฆ์ทั่วประเทศจัดโครงการบรรพชาสามเณร ๑ ล้านรูป
- จัดโครงการอบรมอุบาสิกาแก้ว ๑ ล้านคน
- สนับสนุนโครงการเด็กดีวีสตาร์ ฝึกอบรมเยาวชนให้มีนิสัยดี มีความกตัญญู รับผิดชอบ
ปีละ ๑ ล้านคน
- จัดพิธีบำเพ็ญกุศลแด่ผู้เสียชีวิตจากภัยสึนามิเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ ที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดพังงา
- จัดทอดกฐินสัมฤทธิ์ปีละเกือบพันวัด แก่วัดที่ยังไม่มีเจ้าภาพรับทอดกฐินทั่วประเทศ
- จัดทอดผ้าป่า ๓๒๓ วัด ใน ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นประจำทุกเดือน มากว่า ๑๐
ปีแล้ว และจะทำต่อไปจนกว่าไฟใต้จะดับ
- จัดตั้งกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้เป็นประจำทุกเดือน
- จัดตักบาตรใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อส่งเครื่องอุปโภคบริโภคไปช่วยคณะสงฆ์ ทหาร ตำรวจ
ครู และประชาชนใน ๔ จังหวัดภาคใต้
- สร้างวัดไทยในต่างประเทศจำนวน ๙๕ แห่ง ใน ๓๒ ประเทศ
- เชิญชวนประชาชนให้มาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรม ที่วัดทุกวันอาทิตย์ ในวันสำคัญทางศาสนามีประชาชนมาปฏิบัติธรรมครั้งละหลายแสนคน
ฯลฯ
๓. วัดพระธรรมกายเป็นวัดในพระพุทธศาสนาตามกฎหมาย
โดยมีพระเทพญาณมหามุนีเป็นเจ้าอาวาสมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการพระพุทธศาสนาตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๕ วัดพระธรรมกายมีโครงการในการขยายงานก่อสร้าง
ศาสนสถานหลายประการ เช่น โครงการก่อสร้างที่พักสงฆ์ ที่ปฏิบัติธรรม โครงการเผยแผ่ฯทั้งภายในและต่างประเทศ
โดยปัจจัยได้มาจากการรับบริจาคจากสาธุชนที่มีจิตศรัทธาเป็นหลัก ตลอดระยะเวลา ๔๐ กว่าปีที่ผ่านมา
วัดพระธรรมกายได้รับเงินบริจาคจากสาธุชนจำนวนนับล้านคนแล้วนำมาใช้จ่ายในกิจการสาธารณกุศลต่างๆ
มาโดยตลอด รวมมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งทางวัดได้นำมาใช้จ่ายในการก่อสร้างศาสนสถานให้สามารถรองรับพุทธศาสนิกชนที่มาปฏิบัติธรรมพร้อมกันได้คราวละ
๑ ล้านคน ซึ่งศาสนสถานเหล่านี้เป็นสมบัติของประเทศชาติและพระพุทธ
ศาสนา นอกจากนี้ยังมีโครงการเผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชนและเยาวชนจานวนนับสิบล้านคนมาตลอด
มีผลงานเป็นรูปธรรมประจักษ์ชัดปรากฏสู่สาธารณะเป็นที่รับรู้รับทราบโดยทั่วไป
๔. เงินที่วัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีได้รับบริจาคโดยเช็คสหกรณ์ฯ
จากนายศุภชัยจำนวน ๑,๐๕๕,๕๖๐,๐๐๐ บาท เป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ได้รับบริจาคจากสาธุชนทั่วโลก
วัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะไปร่วมกระทำความผิดกับนายศุภชัยฐานฟอกเงินหรือรับของโจรแต่อย่างใด
๕. หากวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีเป็นผู้ที่ร่วมกันกระทำความผิดกับนายศุภชัย
ศรีศุภอักษร ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจรตามข้อกล่าวหา ผู้กระทำจะต้องรู้อยู่แล้วว่า
เมื่อมีการนำเงินออกจากสหกรณ์โดยมิชอบกว่าหมื่นล้านบาท สหกรณ์ฯจะต้องขาดสภาพคล่องทางการเงินจนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้หรือเกิดเป็นคดีความแน่นอน
ดังนั้นผู้ร่วมกระทำความผิดจะต้องพยายามปกปิดซ่อนเร้นเส้นทางการเงินเพื่อไม่ให้ความผิดมาถึงตัว
และหาทางถ่ายเทเงินกลับไปสู่ผู้ร่วมกระทาความผิด
แต่พระเทพญาณมหามุนีรับบริจาคโดยเปิดเผยท่ามกลางประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนและรับบริจาคมาเป็นเช็คสหกรณ์ซึ่งสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้หมด
หากเป็นผู้ที่สมคบกันกระทำความผิดจะไม่มีใครรับเงินมาด้วยวิธีการที่ไม่ชาญฉลาดหรือวิธีการที่เปิดเผยเช่นนี้อย่างแน่นอน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “กรรมเป็นเครื่องส่อเจตนา”
หรือในทางกฎหมายก็มีคำกล่าวว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”
พฤติกรรมจริงที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พระเทพญาณมหามุนีรับบริจาคมาโดยเปิดเผยและสุจริตในทางกุศลสาธารณะ
เหมือนเช่นที่วัดอื่นๆ หรือพระภิกษุอื่นๆ ทั่วไปประพฤติปฏิบัติมา
๖. เงินบริจาคที่ได้รับมาทั้งหมด
พระเทพญาณมหามุนีไม่ได้นำไปใช้ส่วนตัวเลยแม้แต่บาทเดียว และไม่มีการผ่องถ่ายหรือถ่ายเทคืนไปให้นายศุภชัยฯเลย
จึงไม่ใช่การฟอกเงิน ซึ่งสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ทั้งหมด เนื่องจากไม่เคยเบิกถอนเป็นเงินสดเลย
แต่เป็นการโอนผ่านบัญชีไปให้วัดและมูลนิธิ เพื่อก่อสร้างศาสนสถานเป็นประโยชน์ในทางกุศลสาธารณะตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาค
ซึ่งสำนักงาน ปปง.ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้ว สิ่งนี้แสดงถึงเจตนาสุจริตของพระเทพญาณมหามุนี
นอกจากนี้
การบริจาคทานโดยมีวัตถุประสงค์ เป็นนิติสัมพันธ์ และเป็นนิติกรรมที่มีมูลหนี้ ซึ่งทางวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีจะต้องนำเงินที่ได้รับบริจาคดังกล่าวไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาครวมถึงนายศุภชัยฯ
ซึ่งหากไม่ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ก็อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายได้
๗. พระเทพญาณมหามุนีอุปสมบทมาแล้ว
๔๘ พรรษา ปัจจุบันอายุ ๗๓ ปี มีอาการอาพาธเรื้อรัง และอยู่ในช่วงปลายของชีวิต ได้ปฏิบัติธรรมทำความดีมาตลอดชีวิต
สร้างพระภิกษุสามเณร สร้างวัด สร้างคนให้เป็นคนดี สนับสนุนงานของการคณะสงฆ์ส่วนรวม
มีผลงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนามากมาย เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสาธารณชนทั่วไป จึงมีศิษยานุศิษย์ที่มีจิตศรัทธาในตัวท่านจำนวนมากบริจาคปัจจัยเป็นการส่วนตัวแก่พระเทพญาณมหามุนีนับรวมแล้วมีจำนวนกว่าสองหมื่นล้านบาท
ซึ่งท่านสามารถเบิกไปใช้ได้ตามประสงค์ แต่ท่านก็ไม่เคยถอนเป็นเงินสดออกมาเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวเลยแม้แต่บาทเดียว
ปัจจัยทั้งหมดได้โอนผ่านบัญชีบริจาค
แก่วัดและมูลนิธิเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะและพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
ซึ่งมีหลักฐานทางการเงินสามารถตรวจสอบได้
จึงไม่มีเหตุจูงใจให้พระเทพญาณมหามุนีกระทำความผิดฐานฟอกเงินและรับของโจรกับเงินเพียง
๓๐๐ กว่าล้านบาท ในเมื่อปัจจัยที่ญาติโยมถวายท่านเป็นการส่วนตัวกว่าสองหมื่นล้านบาท
ซึ่งท่านสามารถเบิกไปใช้ได้ตามต้องการ ท่านยังไม่เคยเบิกไปใช้ส่วนตัวเลย แต่ได้นำมาทำบุญบริจาคสร้างวัดและเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั้งหมด
๘. ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พระเทพญาณมหามุนี
ได้สร้างศาสนสถานเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาและประเทศชาติมูลค่ากว่า ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท สร้างพระภิกษุผู้ตั้งใจบวชอุทิศชีวิตจำนวนร่วม ๔,๐๐๐ รูป สร้างอุบาสก อุบาสิกา ญาติโยมผู้มีศรัทธาอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาหลายล้านคน
ผู้ที่มีจิตไม่บริสุทธิ์
มาบวชเพราะหวังลาภสักการะ มีเจตนาทุจริต จะไม่ทำอย่างที่พระเทพญาณมหามุนีทา และก็ทำไม่ได้
เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำด้วยชีวิต ทุ่มเทจิตใจทั้งหมดลงไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ศีลรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วม”
คนอยู่ด้วยกันจะรู้นิสัยกัน ย่อมไม่สามารถปิดบังนิสัยที่แท้จริงได้ พระเทพญาณมหามุนีเป็นคนอย่างไร
อุบาสก อุบาสิกา พระภิกษุ สามเณร ในวัดที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีต้องรู้ ไม่มีทางปกปิดกันได้
ถ้าท่านไม่ดีจริง พระภิกษุ อุบาสก อุบาสิกาในวัดซึ่งมีความรู้ความสามารถ สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรี
ถึงปริญญาเอก จะไม่มีจิตศรัทธาอุทิศชีวิตตนเพื่อพระพุทธศาสนาตามแบบอย่างของท่านอย่างเช่นทุกวันนี้
ชีวิตของใครๆ ก็รัก จะยอมอุทิศชีวิตตนก็ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าสิ่งนั้นดีจริงเท่านั้น
๙. กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินคดีนายศุภชัย
ศรีศุภอักษรกับพวก ในข้อหาร่วมกันยักยอกทรัพย์ (เงินในบัญชี)
ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำนวนเงิน ๑๑,๓๖๗ ล้านบาท เป็นคดีพิเศษที่ ๑๔๖/๒๕๕๖ โดยวิธีการร่วมกันสั่งจ่ายเช็คของสหกรณ์
จำนวน ๘๗๘ ฉบับ ให้แก่บุคคลและนิติบุคคลจำนวนมาก ซึ่งพระเทพญาณมหามุนีและวัดพระธรรมกายได้รับเช็คจากนายศุภชัยซึ่งนำมาบริจาคเป็นสาธารณกุศล
เพื่อสร้างศาสนสถานและศาสนวัตถุ จำนวน ๒๑ ฉบับ เป็นเงินจำนวน ๑,๐๕๕,๕๖๐,๐๐๐ บาท โดยแยกเป็นบริจาคให้แก่วัดพระธรรมกายจำนวน
๑๑ ฉบับ เป็นจำนวนเงิน ๖๖๘,๔๐๐,๐๐๐ บาท
และบริจาคให้แก่พระเทพญาณมหามุนี จานวน ๑๐ ฉบับ เป็นจำนวนเงิน ๓๘๗,๑๖๐,๐๐๐ บาท
เมื่อเกิดเหตุการณ์เป็นคดีความขึ้นจนเรื่องลุกลามบานปลาย
วัดพระธรรมกายจึงได้ตามนายศุภชัย มาสอบถามว่า ตกลงเงินที่นำมาบริจาคให้กับวัดและพระเทพญาณมหามุนีนั้นได้มาจากไหน
นายศุภชัยตอบว่า ยืมมาจากสหกรณ์ฯโดยถูกต้องตามระเบียบสหกรณ์ฯ และได้มีการคืนเงินที่ยืมจำนวนดังกล่าวให้แก่สหกรณ์ฯเสร็จสิ้นแล้ว
โดยมีหลักฐานคือ ผลการสอบบัญชีประจำปีและการรับรองของที่ประชุมใหญ่ของสหกรณ์ฯ ซึ่งนายศุภชัยฯ
ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนให้สังคมทราบความจริงด้วยแล้ว (รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
๖)
ต่อมาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
จำกัด ได้ฟ้องดำเนินคดีกับนายศุภชัยและผู้ที่รับเช็คจากนายศุภชัยรวม ๓๒ ราย โดยฟ้องเป็นคดีแพ่งหลายคดี
และได้ฟ้องคดีแพ่งกับวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ.๗๓๖/๒๕๕๗
ต่อศาลจังหวัดธัญบุรี และคดีหมายเลขดำที่ ๔๔๖๒/๒๕๕๗ และ ๓๖๒๘/๒๕๕๗ ต่อศาลแพ่ง
คณะศิษย์วัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี
ได้เล็งเห็นว่าเงินจำนวนดังกล่าว วัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี ได้มาโดยเปิดเผยและสุจริต
และนำไปใช้ในการก่อสร้างศาสนสถานตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคหมดแล้ว ซึ่งตามกฎหมายแล้ววัดไม่สามารถจะนำเงินของสาธุชนรายอื่นที่นำมาบริจาคทำบุญในเรื่องอื่นๆ
มาคืนให้แก่สหกรณ์ฯได้ และวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีไม่จำเป็นต้องรับผิด แต่เรื่องนี้หากมีการต่อสู้คดีในศาลต่อไปก็จะเสียเวลามาก
สร้างความเสียหายต่อวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี ตลอดจนสหกรณ์ฯและสมาชิกผู้ฝากเงิน
ทางคณะศิษย์ฯ
จึงได้จัดตั้ง “กองทุนเฉพาะกิจลูกศิษย์วัดพระธรรมกายเพื่อช่วยเหลือวัดพระธรรมกาย พระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือพระเทพญาณมหามุนีและสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
จากัด” โดยช่วยเหลือเยียวยาแก่สหกรณ์ฯเต็มจำนวนเงินที่นายศุภชัย
ศรีศุภอักษร ได้นำเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นมาบริจาคให้แก่วัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี
โดยได้จ่ายเงินให้สหกรณ์ฯตามข้อตกลงครั้งแรกจำนวน ๖๘๔.๗๘ ล้านบาท
ครบจำนวนแล้วและสหกรณ์ฯ ได้รับไปครบถ้วนแล้ว และตามบันทึกข้อตกลงครั้งที่สองจำนวน ๓๗๐.๗๘ ล้านบาท ได้ตกลงทยอยจ่ายเดือนละ ๑ งวด รวม ๑๘ งวดๆ ละ ๒๐ ล้านบาท ยกเว้นงวดสุดท้ายจ่ายเป็นจำนวน
๓๐.๗๘ ล้านบาท เริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ซึ่งขณะนี้สหกรณ์ได้รับเงินแล้ว ๗ งวด เป็นเงิน ๑๔๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินตามข้อตกลงทั้งสองครั้งจำนวน
๑,๐๕๕,๕๖๐,๐๐๐ บาท
(หนึ่งพันห้าสิบห้าล้านห้าแสนหกหมื่นบาท) โดยมีเงื่อนไขว่าหากเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วปรากฏว่าเงินที่นำมาบริจาคให้แก่วัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีนั้น
หากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ยืมมาจากสหกรณ์ฯและได้คืนแล้วจริง สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจะต้องคืนเงินที่เยียวยาทั้งหมดแก่คณะศิษย์วัดพระธรรมกาย
ทางสหกรณ์ฯ
จึงได้ทำบันทึกข้อตกลงกับกองทุนเฉพาะกิจฯ และยื่นคำร้องขอถอนฟ้องวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี
และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องไปแล้ว สหกรณ์ฯ จึงมีหนังสือไปถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และแถลงข่าวต่อสาธารณชน
แสดงเจตนาว่า ไม่ติดใจดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี อีกต่อไปทั้งทางแพ่งและทางอาญา
และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นยังได้มีหนังสือขอบคุณมายังคณะศิษย์วัดพระธรรมกายอีกด้วย
รายละเอียดปรากฏตามบันทึกข้อตกลง, คำร้องขอถอนฟ้อง, หนังสือขอบคุณจากสหกรณ์ฯ, หนังสือสหกรณ์แจ้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
(ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ติดใจดำเนินคดีอีกต่อไป,
รายงานกระบวนพิจารณาของศาล, เอกสารแถลงข่าวของสหกรณ์ฯ,
หนังสือสหกรณ์ฯ แจ้งสมาชิกและกองทุนเฉพาะกิจฯ เรื่องการได้รับเงินเยียวยาจากกองทุนฯ
(รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๗)
ความเสียหายของผู้เสียหาย
ตามความผิดมูลฐานคือยักยอกทรัพย์ เมื่อได้รับเงินตามความผิดมูลฐานคืนไปครบถ้วนแล้ว
ความเสียหายของผู้เสียหายที่เป็นสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด (เอกชน) ย่อมหมดสิ้นไปแล้ว คงเหลือเฉพาะความเสียหายของรัฐ ซึ่งในความเป็นจริงของเรื่องนี้
ด้วยความผิดมูลฐานของคดีนี้ เป็นกรณีการพิพาทของเอกชนกับเอกชน และเป็นความผิดที่ยอมความกันได้
และผู้เสียหายได้รับเงินคืนครบจำนวนแล้ว ผลกระทบของความเสียหายโดยตรงของรัฐจึงไม่มีแล้ว
ถึงแม้องค์ประกอบตามกฎหมายกำหนดว่า
ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรเป็นความผิดที่เป็นความเสียหายของรัฐ
แต่เมื่อผู้เสียหายที่เป็นเอกชนไม่เสียหายแล้ว และตกลงไม่ติดใจเอาความต่อกัน คดีตามที่กล่าวหาจึงสิ้นสุดได้ในชั้นนี้
๑๐. สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
จำกัด ได้เคยนำการกระทำของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร กับพวก (ที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งเป็นคดีพิเศษที่
๑๔๖/๒๕๕๖) มายื่นฟ้องต่อศาลอาญาและศาลแพ่ง
ในข้อหายักยอกทรัพย์, ละเมิด ติดตามเอาทรัพย์คืน และต่อมาสหกรณ์ฯ
ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องต่อศาล และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องแล้ว ดังนั้นเมื่อการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัวและผู้เสียหายได้ถอนฟ้องไปแล้ว
ย่อมถือว่าการกระทำของนายศุภชัยฯ กับพวก มีการดำเนินคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับสิ้นไป
แต่ต่อมาสมาชิกสหกรณ์ฯบางคน ได้นำการกระทำตามมูลเหตุเดิม มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินคดีขึ้นมาใหม่ และการที่พนักงานสอบสวนนำคดีซึ่งระงับสิ้นไปแล้ว
มาสอบสวนดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์อีกครั้ง จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พนักงานอัยการจึงไม่สามารถพิจารณาคดีได้ (ปรากฏตามสำเนาคำฟ้องและคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องของศาล
สิ่งที่ส่งมาด้วย ๘ )
๑๑. การตั้งข้อหาของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
จำกัด มีประเด็นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนี้
๑๑.๑ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ได้ตั้งข้อหานายศุภชัยฯ กับพวกในคดีพิเศษที่ ๒๗/๒๕๕๙ ว่าร่วมกันฟอกเงิน
โดยอาศัยข้อหาฉ้อโกงประชาชนในคดีพิเศษที่ ๖๓/๒๕๕๗ เป็นความผิดมูลฐาน
ซึ่งหากนายศุภชัยมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนแล้ว เงินที่ได้มาย่อมไม่ใช่เงินของสหกรณ์ฯเพราะเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด
เป็นเงินของกลางในคดีอาญา ซึ่งสหกรณ์ฯมีหน้าที่จะต้องคืนให้ประชาชนผู้เสียหายผู้ถูกหลอกลวง
๑๑.๒ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งข้อหานายศุภชัยฯกับพวกในคดีพิเศษที่
๑๔๖/๒๕๕๖ ว่าลักทรัพย์นายจ้าง แสดงว่าทรัพย์นั้นเป็นของสหกรณ์
ซึ่งเป็นนายจ้างของนายศุภชัยฯ
จึงจะเห็นได้ว่า
เจ้าของทรัพย์ในคดีพิเศษที่ ๑๔๖/๒๕๕๖ คือสหกรณ์ฯ ส่วนเจ้าของทรัพย์ในคดีพิเศษที่ ๖๓/๒๕๕๗
คือประชาชนผู้ถูกนายศุภชัยฯ หลอกลวง ซึ่งเป็นคนละคน ทั้งที่มีทรัพย์อยู่จำนวนเดียวกัน
การดำเนินคดีทั้งสองคดีจึงมีความขัดแย้งกัน และเป็นการตั้งข้อหาที่ซ้ำซ้อนกันและขัดแย้งกันเอง
ซึ่งเป็นนิติวิธีที่ไม่ชอบ
๑๑.๓ เมื่อข้อกล่าวหาตามข้อ
๑๑.๑ และ ๑๑.๒ ยังไม่เป็นที่ยุติหรือยังรับฟังไม่ได้ว่านายศุภชัยฯ
กระทำความผิดฐานใด การที่พนักงานสอบสวนด่วนตั้งข้อกล่าวหาแก่พระเทพญาณมหามุนีว่า สมคบกันฟอกเงิน
และร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
๑๑.๔ กรณีดังกล่าวข้างต้น หากพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องในทุกคดีที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนมาแล้ว
ก็จะเป็นการพิจารณาที่ซ้ำซ้อนหรือซ้ำสองในฐานความผิดเดียวกัน ตามหลักกฎหมายที่ว่า
“บุคคลจะไม่ถูกพิจารณาซ้ำสองในความผิดเดียว หรือที่เรียกว่า
Non Bis In Idem ( Not twice for the same หรือ No double
jeopardy” ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้ได้มีหลักกฎหมายและคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยรองรับไว้
ปรากฏตามบทความ (สิ่งที่ส่งมาด้วย ๙)
๑๒. การดำเนินการของพนักงานสอบสวนในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
จำกัด และคดีอื่นที่เกี่ยวโยงกัน มีความไม่เป็นธรรมหลายประการ อาทิ
มีการแจ้งความดำเนินคดี
และพนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อหาคณะศิษยานุศิษย์ที่ช่วยกันบริจาคเงินเพื่อเยียวยาแก่สหกรณ์ฯคลองจั่น
ว่ามีความผิดข้อหาเรี่ยไร ทั้งที่เงินนั้นก็เป็นเงินของศิษยานุศิษย์แต่ละท่าน และเสียสละมาเยียวยาแก่สหกรณ์ฯตามข้อตกลงในศาล
และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องทั้งวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี อีกทั้งสหกรณ์ฯ
มีหนังสือขอบคุณแก่คณะศิษยานุศิษย์ เจ้าหน้าที่ของรัฐแทนที่จะมอบรางวัลแสดงความชื่นชมในน้ำใจเสียสละให้กับศิษยานุศิษย์
แต่คณะศิษยานุศิษย์กลับถูกดำเนินคดีตกเป็นผู้ต้องหา แสดงถึงเจตนาในการหาเรื่องกลั่นแกล้ง
ไม่เป็นธรรม
๑๓. นอกจากนี้ การกลั่นแกล้งพระเทพญาณมหามุนียังดำเนินต่อไป
โดยพลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(ปทส.) ดำเนินคดีพระเทพญาณมหามุนี ข้อหาบุกรุกป่า
ที่สวนป่าหิมวันต์ อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย โดยอ้างอิงความเห็นของนายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน
ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศของศาล เป็นเหตุผลหลักในการดาเนินคดี
ทั้งที่นายวิฑูรย์ฯ ซึ่งเคยเป็นอดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ และถูกลงโทษไล่ออกจากราชการเพราะทำความผิดฐานวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศบิดเบือนความจริง
สร้างความเสียหายต่อราชการหลายกรรมหลายวาระ และสำนักงานศาลยุติธรรมไม่ต่อทะเบียนการเป็นผู้เชี่ยวชาญฯ
ของศาลให้กับนายวิฑูรย์ฯ ดังนั้นนายวิฑูรย์ฯ จึงมิได้เป็นผู้เชี่ยวชาญฯของศาลอีกต่อไป
ซึ่งทางวัดพระธรรมกายได้ขอให้นายวินัย สายปรีชา ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศของศาล
วิเคราะห์ตรวจสอบ ปรากฏว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในเขตป่าแต่อย่างใด แต่เมื่อได้ส่งหลักฐานแก่ทางพนักงานสอบสวน
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปทส. กลับตอบว่า เลือกที่จะเชื่อผลการวิเคราะห์ของนายวิฑูรย์ฯ
ซึ่งมีประวัติพฤติกรรมมัวหมองร้ายแรงจนถูกไล่ออกจากราชการ และไม่เชื่อผลการวิเคราะห์ของนายวินัยฯ
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญฯของศาล และขอออกหมายจับพระเทพญาณมหามุนี
๑๔. นอกจากนี้ พลตำรวจเอกศรีวราห์ฯ
ยังได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปทส. ดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนี
ข้อหาสร้างสิ่งปลูกสร้างทับลำรางสาธารณะที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม เวิร์ล พีซ อำเภอปากช่อง
จังหวัดนครราชสีมา โดยอ้างอิงผลการวิเคราะห์ของนายวิฑูรย์ฯ คนเดิม แต่เมื่อทางมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูงฯ ได้ขอให้ นาวาอากาศตรีวีระชัย วังกดิลก ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์แผนที่ทางอากาศของศาล
ตรวจสอบวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหาร ปรากฏผลการวิเคราะห์ว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่มีลำรางสาธารณะ
แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปทส.ก็ยืนยันว่า เลือกที่จะเชื่อผลการวิเคราะห์ของนายวิฑูรฯ
ซึ่งไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญฯของศาลแล้ว และไม่เชื่อผลการวิเคราะห์ของนาวาอากาศตรีวีระชัยฯ
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญฯของศาลที่แท้จริง และไปขอออกหมายจับพระเทพญาณมหามุนีอีก ๑ ใบ
๑๕. พฤติกรรมดังกล่าวข้างต้นของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ปทส.โดยการนาของพลตำรวจเอกศรีวราห์ฯ ทำให้คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายมีความรู้สึกว่าพระเทพญาณมหามุนีและวัดพระธรรมกายถูกกลั่นแกล้งดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม
สร้างความรู้สึกทุกข์ร้อนคับแค้นใจอย่างแสนสาหัส
๑๖. พลตำรวจเอกศรีวราห์ฯ ได้แถลงข่าวแก่สื่อมวลชนว่า
ขณะนี้ได้เตรียมกาลังตำรวจ ๖ - ๗ กองร้อย พร้อมบุกเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย
เพื่อจับกุมตัวพระเทพญาณมหามุนี โดยได้เตรียมสุนัขตำรวจ
เฮลิคอปเตอร์ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด และได้ประสานไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์และโรงพยาบาลใกล้เคียงให้เตรียมแพทย์พยาบาล
ส่อให้เห็นว่าจะใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามจับกุมคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ที่มาสวดมนต์นั่งสมาธิอยู่ในวัดจำนวนนับหมื่นคนด้วยความเป็นห่วงพระเทพญาณมหามุนี
ซึ่งจะทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จะกลายเป็นข่าวอื้อฉาวสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ประเทศชาติในสายตาชาวโลกอย่างยิ่ง
และจะเป็นบาดแผลความขัดแย้งอย่างลึกซึ้ง ระหว่างสถาบันชาติกับสถาบันพระพุทธศาสนาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย
๑๗. ในช่วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาพิเศษที่ชาวไทยทั้งประเทศรวมถึงคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย
ได้ร่วมใจกันจัดพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เป็นประจำทุกวัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นโอกาสมหามงคลอันประเสริฐที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทย
ควรจะเป็นห้วงเวลาที่ชาวไทยทุกคนได้สมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกัน รักษาสังคมบ้านเมืองที่สงบสันติสุขเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเสริมพระบรมเดชานุภาพของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทให้ปรากฏแก่ชาวโลก
ไม่ควรที่จะมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งคณะศิษย์วัดพระธรรมกายได้ร่วมใจกันเจริญพระพุทธมนต์บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ครบจำนวน ๑๐,๑๐๑,๐๑๐ จบ เป็นครั้งแรกของโลกเพื่อเฉลิมฉลองเทิดพระเกียรติการขึ้นทรงราชย์เป็นรัชกาลที่
๑๐ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ชองสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
๑๘. ปวงข้าพระพุทธเจ้าเวลานี้เหลือที่พึ่งสุดท้ายหนึ่งเดียวที่จะพึ่งได้คือ
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงจำต้องขอพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลถวายฎีการ้องทุกข์ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอันเปรียบประดุจพระบิดาของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ
เพื่อขอพึ่งพระบารมีให้ยุติการดำเนินคดีที่มิชอบดังกล่าวข้างต้น และมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ความรุนแรงทำร้าย
ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายต่อปวงข้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นพสกนิกรของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงและคนชรา
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายชีวิตด้วยความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจคนไทยทั้งชาติ
ควรมิควรประการใดสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าพสกนิกรผู้ถวายฎีการ้องทุกข์