วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แถลงข่าวคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ประจำวันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2559

แถลงข่าวคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย
ประจำวันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2559
ณ ห้อง Studio สถานีวิทยุโทรทัศน์ DMC สำนักสื่อ DMC วัดพระธรรมกาย



กำลังมีขบวนการเพื่อพยาม “ยุยงให้เกิดความแตกแยก” ในหมู่ชาวพุทธหรือไม่ ?
สืบเนื่องจากเนื้อหาการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทาง สื่ออิเลคทรอนิกส์ ของหนังสือพิมพ์โพสทูเดย์  ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559 (http://www.posttoday.com/analysis/interview/435698) โดยได้นำบทสัมภาษณ์พิเศษของ “พระราชธรรมนิเทศ (หลวงพ่อพยอม)” ในหัวข้อ“พระพยอม อ่านเกมธัมมชโย แนะตัดเสบียง และส่งทหารปิดล้อม” ซึ่งมีรายละเอียดของเนื้อหาบางส่วนดังนี้

ขอเรียนชี้แจงว่า “คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้รับการสั่งสอนอบรมจากพระเทพญาณมหามุนี(หลวงพ่อธัมมชโย) เสมอๆ ว่า พระภิกษุทุกๆ รูป ล้วนเป็นผู้สืบทอดพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย ที่คณะศิษย์ทุกๆ คนย่อมต้องให้ความเคารพกราบไหว้ การแสดงออกทางกาย  วาจา ใจที่ไม่สมควรต่อพระภิกษุ ย่อมเป็นสิ่งที่คณะศิษย์ถูกพร่ำสอนมาว่า ไม่พึงกระทำ ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์  วัดพระธรรมกาย พึงระลึกนึกถึงคำสอนนี้ของครูบาอาจารย์ ไว้เป็นคติประจำใจเสมอๆ เนื้อหาต่างๆ ที่พระราชธรรมนิเทศ (หลวงพ่อพะยอม) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ซึ่งอาจจะไม่ตรงไปตามความเป็นจริงทั้งหมดก็เป็นได้นั้น ทางคณะศิษย์ฯ มิได้มีเจตนาที่กระทำการหักล้างโดยไม่เคารพต่อพระราชธรรมนิเทศ (หลวงพ่อพะยอม) ในฐานะพระภิกษุรูปหนึ่งแต่ประการใด แต่ที่กระทำไปเพื่อหวังประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาโดยรวมทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพราะการที่พระราชธรรมนิเทศ (หลวงพ่อพยอม) ได้สัมภาษณ์ผ่านสื่อออกมาเช่นนี้ ทางคณะศิษย์ฯ เกรงว่า ท่านอาจจะได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้ผู้รับข่าวสารเกิดความเข้าใจผิด สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย), วัดพระธรรมกาย และคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งข้อมูลบางส่วน ได้ไปพาดพิงถึงพระภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิบัติชอบ เป็นบุคคลที่ชาวพุทธต่างให้ความเคารพบูชา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย อาจทำให้คณะศิษย์ฯ ของครูบาอาจารย์รูปอื่นๆ เกิดความเข้าใจผิด นำไปสู่ความแตกแยกของหมู่มวลชาวพุทธอีกด้วย”

พร้อมกันนี้ ขอชี้แจงแต่ละประเด็นว่า
·       เนื้อหาส่วนแรกกล่าวถึงวัดพระธรรมกายว่า มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง การกระทำของคณะศิษย์ฯ เป็นเพียงการรักษาหน้าตา และผลประโยชน์ ทางคณะศิษย์ฯ ขอเรียนชี้แจงให้ทราบว่า นี่เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเพราะวัดพระธรรมกายได้ประกาศเจตนารมณ์ของทางวัดอย่างชัดเจนว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง แม้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรม จะมีบทบาทผู้นำทางการเมือง หรือผู้สนใจการเมืองฝ่ายไหนมาก่อนก็ตาม เมื่อมาปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกายก็สามารถปฏิบัติธรรมรวมกันได้ตามหลัก สงบ สันติ อหิงสา โดยไม่มีการแบ่งสีแบ่งฝ่ายทางการเมืองที่วัดพระธรรมกาย
     
เนื้อหาต่อมากล่าวถึงเรื่องการดำเนินการเข้าจับกุมที่มีการเจรจาต่อรองหรือข้อแลกเปลี่ยนนั้น ทางคณะศิษย์ฯ ขอเรียนชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ท่านให้ความเคารพกฎหมาย และพร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย เพียงแต่ในเวลานี้ ท่านยังคงอาพาธ และพักรักษาตัวอยู่ในวัดพระธรรมกาย ไม่ได้มีการต่อรองข้อแลกเปลี่ยนใดๆ

  เนื้อหาในส่วนถัดมา ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญยิ่ง เพราะ หลวงพ่อพะยอม ได้กล่าวว่า หลวงพ่อธัมมชโย พูดถึง พระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสองรูปที่มรณภาพไปแล้ว ว่าไปอยู่ในภพภูมิที่ไม่สมควร ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้ ทางคณะศิษย์ฯ ขอเรียนชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย หลวงพ่อธัมมชโย ไม่เคยกล่าวถึงพระภิกษุ ทั้งสองรูปนี้เช่นนี้เลย ไม่ว่าที่ไหนเวลาใดก็ตาม คำกล่าวเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อความศรัทธา   และเกิดความแตกแยกของชาวพุทธเป็นอย่างยิ่ง

 เนื้อหาในส่วนสุดท้าย ที่พระราชธรรมนิเทศ (หลวงพ่อพยอม) ให้สัมภาษณ์พาดพิงคณะศิษย์ฯ ว่ากำลังปกป้องพระศาสนา หรือ กำลังรักษาหน้าตา ทางคณะศิษย์ฯ ขอยืนยันอีกครั้งด้วยความเคารพว่า  ทางคณะศิษย์ฯ ได้กระทำการทุกสิ่งอย่างนั้น เพื่อเป็นการรักษาความจริง ซึ่งเป็นหลักสำคัญ  ของพระพุทธศาสนา ที่จะป้องกันไม่ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย อีกทั้งป้องกันไม่ให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวพุทธต่อผู้ได้รับข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จนี้ ทั้งนี้ ด้วยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา และความศรัทธาโดยรวมของชาวพุทธหมู่มาก   
   

“วัดพระธรรมกาย” เป็นวัดในพระพุทธศาสนา “ไม่ใช่รัฐอิสระ”!!!
กรณีที่สื่อมวลชนฉบับหนึ่ง พยายามสร้างข่าวว่า “วัดพระธรรมกายเป็นรัฐอิสระ” เป็นรัฐซ้อนรัฐ ที่ไม่มีใครแตะต้องได้นั้น คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
·       ประการแรก การก่อตั้งวัดขึ้นในประเทศไทยนั้น ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 มาตราที่ 31 นั้น วัดจะเป็นวัดที่สมบูรณ์ได้ จะต้องได้รับการพระราชทานวิสุงคามสีมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
·       ประการที่สอง “วัดพระธรรมกาย” ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2522 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 96 ตอนที่ 15 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522
·       ประการที่สาม วัดในประเทศไทยมีทั้งหมด 33,902 วัด ทุกวัดเป็นวัดที่สมบูรณ์ได้ เพราะได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งสิ้น
ดังนั้น จากเหตุผลทั้งสามประการนี้ “วัดพระธรรมกาย” จึงเป็นวัดที่สร้างขึ้นอย่างถูกต้องตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับ 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายสงฆ์ที่ประกาศใช้อยู่ในราชอาณาจักรไทยทุกประการ
คำกล่าวหาว่าวัดพระธรรมกายว่าเป็น “รัฐอิสระ” เป็น “รัฐซ้อนรัฐ” นั้น จึงเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไร้หลักฐาน  อันอาจทำให้เกิดความหวาดระแวงและเข้าใจผิด จนนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้าย ถึงขั้นยกเลิกคำสั่ง ห้ามใช้มาตรการรุนแรง และอนุมัติให้ใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนที่ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ภายในวัดอย่างสงบ สันติ อหิงสา และปราศจากอาวุธ

คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย จึงมีความเห็นว่าการสร้างข่าวใส่ร้ายว่า “วัดพระธรรมกาย เป็นรัฐอิสระ”นั้น อาจมีเจตนาเพื่อจะให้รัฐบาลและประชาชนเข้าใจผิดว่าประชาชนที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกาย  เป็นผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน เป็นกบฏอาญาแผ่นดิน ถือว่าเป็นการใส่ร้ายอย่างรุนแรง ถือเป็นการผิดจริยธรรมของความเป็นสื่อมวลชนหรือไม่? เป็นการกระทำที่ขาดมนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิงหรือไม่? หรือมีวัตถุประสงค์ถึงขั้นกุข่าวยุยงปลุกปั่นใส่ร้าย หวังให้รัฐบาลอนุมัติคำสั่งปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือไม่? 
คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย จึงใคร่ขอวิงวอนคณะรัฐบาลโปรดให้ความเป็นธรรมและให้การคุ้มครองพระภิกษุ สามเณร ประชาชนอีกนับหมื่นนับแสนชีวิต จากการอาจถูกกล่าวหาให้ตกอยู่ในฐานะ “ผู้ร้ายแบ่งแยกดินแดน” อย่างไม่เป็นธรรมจากการกระทำของสื่อมวลชนบางสำนักในครั้งนี้จะด้วยจงใจไม่จงใจในครั้งนี้ด้วย

ชี้แจงข้อแท้จริงกรณีภาพพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)...
สืบเนื่องจากการแถลงข่าวในวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559 คณะศิษยานุศิษย์ฯ ได้นำภาพ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ขณะเข้ารับการรักษาอาการอาพาธในปี พ.ศ.2542 มาใช้ประกอบการแถลงข่าวเพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วถูกแพทย์บางคนจับผิดว่า มีการใช้เครื่องช่วยหายใจไม่ถูกต้องตามลักษณะการใช้งาน จึงใช้สื่อสังคมออนไลน์กระจายข่าวโจมตีพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) และแพทย์ที่ทำการรักษา ว่าจัดฉากหลอกลวงเพื่อแสดงให้เห็นว่าอาพาธ นั้น
ขอเรียนชี้แจงดังนี้
·ภาพที่แพทย์บางท่านกล่าวหาว่าจัดฉากนั้น เป็นเหตุการณ์ขณะพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เข้ารับรักษาอาการอาพาธ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ในปี พ.ศ. 2542 หรือเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ภาพปัจจุบัน
·ประเด็นที่ว่า เครื่องช่วยหายใจสีเขียวในภาพ ที่เรียกกันว่า Bird Ventilator หรือ Bird  ซึ่งเป็นเครื่องช่วยหายใจรุ่นเก่า ต้องใช้กับท่อหายใจเท่านั้น จะใช้กับหน้ากากอย่างที่เห็นในภาพไม่ได้ เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ดัดแปลงเครื่องช่วยหายใจสีเขียว Bird ให้สามารถใช้กับหน้ากากตามที่เห็นในภาพ เพื่อเป็นการช่วยแรงดันบวก ขณะหายใจ
·หากตรวจสอบข้อมูลให้ดี จะพบว่าเหตุการณ์ในภาพเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่การจัดฉาก การที่คณะศิษย์ฯ นำภาพนี้มาใช้ก็เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2542 ให้สอดคล้อง              กับเนื้อข่าวที่แถลง ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นสภาพการรักษาพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ในปัจจุบัน อีกทั้งการดัดแปลงเครื่องช่วยหายใจก็เป็นการจัดการของโรงพยาบาลกรุงเทพ ไม่เกี่ยวกับพระเทพญาณมหามุนี(หลวงพ่อธัมมชโย) และแพทย์ที่ทำการรักษาในปัจจุบัน แม้แต่น้อย
·การกล่าวหาและชี้นำสังคมโดยไม่ศึกษาข้อมูลและรายละเอียดในกรณีนี้  ทำให้แพทย์ผู้ทำการรักษาเสื่อมเสียชื่อเสียง โดนดูถูกเกลียดชังจากสาธารณชน ซึ่งถือเป็นการละเมิดจริยธรรมแพทย์อย่างชัดเจน ตามจรรยาบรรณของแพทย์หมวด 5 เรื่องการปฏิบัติต่อผู้ร่วมวิชาชีพ ดังนี้ ข้อ 30 ผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรมพึงยกย่องให้เกียรติเคารพในศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน, ข้อ 31  ผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ทับถมให้ร้ายหรือกลั่นแกล้งกัน
· ขณะนี้ทีมกฎหมายของคณะศิษย์ฯ กำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการให้ความเห็นในทางดูหมิ่น เหยียดหยามบนพื้นที่สาธารณะของแพทย์บางท่านเหล่านั้น  โดยจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป หากพบว่า ผู้ใดทำไปโดยมีเจตนาให้ร้าย จะดำเนินการยื่นร้องเรียนด้านจริยธรรมต่อแพทยสภาต่อไป
·คณะศิษย์ฯ ขอยืนยันอีกครั้งว่า พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) มีอาการอาพาธจริง และขอเรียกร้องให้ทุกท่านที่กล่าวหาว่ามีการจัดฉาก แสดงความรับผิดชอบ ด้วยการลบข้อความของท่านออกให้หมด พร้อมทั้งออกมาขอโทษต่อพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) และแพทย์ผู้ทำการรักษา พร้อมทั้งขอความกรุณาให้ตรวจสอบความจริงอย่างละเอียดก่อนวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เพราะการกล่าวหาโดยไม่วิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และการดูถูก เกลียดชังต่อวัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) และแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างกว้างขวางทั้งในวงการแพทย์และประชาชนทั่วไป

กรณีข้อความเท็จผ่านทวิตเตอร์ของนายสมเกียรติ อ่อนวิมล
มีใจความสำคัญว่า “...วัดพระธรรมกายมีลักษณะเป็นนิกายต่างหากสำหรับศาสนาพุทธในประเทศไทย ย่อมมีเสรีภาพที่จะกำหนดลัทธิความเชื่อของตนที่ต่างไปจากนิกายเถรวาทของไทยได้  มีความจำเป็นแล้วที่ คสช. จะต้องแก้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ให้นิยามคำว่า คณะสงฆ์ เถรวาท มหานิกาย ธรรมยุตินิกายธรรมกาย ฯลฯ ใหม่ให้ชัดเจน...
คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย จึงขอชี้แจงว่า วัดพระธรรมกายเป็นวัดในพระพุทธศาสนา   เถรวาท สังกัดมหานิกาย ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม มีการก่อตั้งวัดถูกต้อง                     ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2535  มีกิจกรรม และพิธีกรรมทางศาสนาตามแบบแผนปฏิบัติ     และมีหลักคำสอนถูกต้อง ตรงตามพระไตรปิฎกเช่นเดียวกับวัดทั่วไป คือ มุ่งศึกษาเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา     ตามหลักไตรสิกขา แบบพระพุทธศาสนาเถรวาททุกประการ มิใช่ลัทธิความเชื่ออื่นหรือนิกายอื่น         แต่อย่างใด
การโพสต์ข้อความดังกล่าวของนายสมเกียรติ อ่อนวิมล จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ว่าด้วยการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการใส่ร้ายวัดพระธรรมกาย สร้างความเสียหายให้แก่วัดพระธรรมกาย และกระทบต่อจิตใจคณะศิษย์ฯ เป็นอย่างมาก

ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการแถลงของชาวพุทธที่ร่วมเวทีการแถลง
ความในใจของชาวพุทธ “ทนายพัฐจักร เทพษร”
...ผู้มีศรัทธาทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ผมในฐานะพุทธศาสนิกชนและนักกฎหมายคนหนึ่ง ขออนุญาตอธิบายความกรณีที่ผมเป็นผู้หนึ่งที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อ “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” และ “พระพุทธอิสระ” ดังต่อไปนี้
ตามหลักกฎหมาย การกระทำของ “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” และ “พระพุทธอิสระ” นั้นเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาโดยเห็นว่าทั้งสองมีพฤติกรรมที่ละเมิดกฏหมาย พรบ.สงฆ์ มาตรา 44 ทวิ ,44 ตรี และ มาตรา 14 ใน พรบ.คอมพิวเตอร์ เพราะ 1) เป็นการดูหมิ่นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช อันเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนประมุขสงฆ์อันสูงสุด อยู่ในฐานะพึงควรเคารพสักการะ  และ 2) เป็นพฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดความแตกแยก เสื่อมสามัคคีแก่คณะสงฆ์ ซึ่งแม้ในทางกฎแห่งกรรม ก็ถือเป็นกรรมอันหนัก หรือ อนันตริยกรรม
ตามหน้าที่แห่งพุทธศาสนิกชน ส่วนตัวผมแจ้งข้อกล่าวหาแก่บุคคลทั้งสองนี้ เพราะมิอาจทนเห็นพฤติกรรมข้างต้นที่บุคคลทั้งสอง ดูหมิ่น จาบจ้วง สมเด็จพระราชาคณะชั้นสูง ผู้เปรียบเสมือนเป็นผู้ปกครองสูงสุดของสงฆ์ทั้งแผ่นดินไทย และยิ่งมิอาจทนเห็นการสร้างความแตกแยกในหมู่คณะสงฆ์ อันอาจเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมความศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนทั่วไป

ดังนั้น เหตุผลเบื้องต้นเป็นเหตุผลส่วนตัวของผมที่ออกมาแจ้งข้อกล่าวหาแก่ “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” และ “พระพุทธอิสระ” ด้วยความเคารพรัก และความห่วงใยในพระพุทธศาสนา โดยไม่มีจิตคิดกลั่นแกล้ง หรือทำตามขบวนการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝงทั้งสิ้น ทุกอย่างทำไปเพื่อปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาโดยรวมในฐานะชาวพุทธด้วยความบริสุทธิ์ใจ