วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

"โคทม อารียา" ย้ำ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ควรยึดติดว่าความคิดของตนจะดีที่สุดตลอดไป และไม่ควรบัญญัติให้มีองค์กร/สมัชชา/คณะกรรมการ เพิ่มขึ้นมากมายจนแทรกแซงหลักการ3อำนาจอธิปไตย

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมถกแถลงร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 19 เมษายน 2558 ณ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา  มหาวิทยาลัยมหิดล  โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมถกแถลงมากกว่า 60 คน ทั้งจากกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด  นายโคทม  อารียา  ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล  ได้แถลงว่า  

ตามเจตนารมณ์ของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่จะสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ การเมืองใสสะอาดและสมดุล หนุนสังคมที่เป็นธรรม นำชาติสู่สันติสุขและมีข้อเสนอว่า รัฐธรรมนูญควรสอดคล้องกับ ความเป็นใหญ่ของประชาชนหรืออำนาจอธิปไตย เป็นของ มาจาก และเพื่อประชาชนดังนั้น ควรให้สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในทางนิติบัญญัติ ควรให้นายกรัฐมนตรีมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และให้คณะรัฐมนตรีสามารถกำหนดนโยบายและบริหารราชการรวมทั้งดำเนินการปฏิรูปให้เกิดความเป็นธรรมได้ โดยไม่ถูกควบคุมโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอื่นจนเกินความสมดุล และควรลดอำนาจของราชการเช่นในการจัดการเลือกตั้ง ที่สำคัญคือ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ควรยึดติดว่าความคิดของตนในตอนนี้ จะดีที่สุดตลอดไป จนบัญญัติให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในอนาคตกระทำได้ยากมาก

        สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยหิดล และศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมกันจัดประชุมถกแถลงรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 17-19 เมษายน 2558 ที่สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 60 คน ทั้งจากกรุงเโดยหวังให้เป็นเวทีการถกแถลงแจงเหตุผลเกี่ยวกัยร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

        อนึ่ง ที่ประชุมได้ถกแถลงภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีข้อสรุปที่สำคัญ ดังนี้
        - รัฐธรรมนูญควรบัญญัติเฉพาะหลักการสำคัญ ส่วนรายละเอียดที่อาจเปลี่ยนตามกาลสมัยควรบัญญัติเป็นกฏหมายธรรมดา

        - ไม่ควรบัญญัติให้มีองค์กร/สมัชชา/คณะกรรมการ เพิ่มขึ้นมากมาย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความไข้วเขวหรือการแทรกแซงต่อหลักการที่ว่า อำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทยซึ่งแบ่งเป็นสามอำนาจนั้น พระมหากษัตริย์ทรงใช้ผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล

        - คำว่า พลเมืองซึ่งดูเหมือนจะตรงกับคำว่า citizen และหมายความว่าผู้มีสัญชาติไทยนั้น น่าจะตรงกับคำที่เคยใช้อยู่เดิมคือ ปวงชนชาวไทยแต่มีนัยแคบลงหากยึดโยงกับนิยามความเป็นพลเมือง (ที่ดี) ตามมาตรา 26 และหน้าที่พลเมืองตามมาตรา 27 คำว่าพลเมืองยังมีความหมายที่แคบกว่าคำว่า บุคคลที่น่าจะหมายถึงทุก ๆ คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และยิ่งแคบกว่าคำว่า มนุษยชนที่หมายถึงมนุษย์ทุกคน

- ไม่ควรทำให้ประมวลจริยธรรมหรือจรรยาบรรณซึ่งเป็นเรื่องกว้าง กลายมามีผลบังคับใช้เหมือนกฎหมายที่ต้องเขียนอย่างรัดกุม อนึ่ง ประมวลจริยธรรมควรคำนึงถึงสถานภาพที่ต่างกันไปของบุคคล

- ขอเสนอให้ตัดบทบัญญัติว่าด้วยสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติซึ่งมีอำนาจหน้าที่กว้างขวางเกินไปและจะดำเนินการโดยไม่เลือกปฏิบัติได้ยาก แต่ที่ประชุมบางส่วนเห็นว่าน่าจะศึกษาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติก่อนจึงจะมาพิจารณาในประเด็นนี้

- การเลือกตั้ง ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อควรใช้รายชื่อปิดเพราะเป็นการเรียบง่าย แต่ที่ประชุมบางส่วนเห็นว่าควรใช้บัญชีรายชื่อเปิดเพื่อลดอิทธิพลนายทุนพรรค  นอกจากนี้เห็นว่าควรมีเฉพาะบัญชีรายชื่อพรรค ไม่ควรมีบัญชีรายชื่อกลุ่มการเมือง เพราะควรส่งเสริมระบบพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง อย่างไรก็ดี ในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ควรให้มีผู้สมัครอิสระโดยไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคหรือกลุ่มการเมือง

- ไม่ควรห้าม ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวชมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งเพราะการเมืองย่อมเกี่ยวข้องกับทุกคน แต่ที่ประชุมบางส่วนเห็นว่าบุคคลดังกล่าวไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

- ในส่วนของลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 111 ที่ประชุมเห็นว่าไม่ควรมีผลย้อนหลังโดยเฉพาะในวงเล็บ (8) ที่ตัดสิทธิ์ผู้ที่เคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม เพราะเป็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต แต่บางส่วนเห็นว่าควรตัดสิทธิ์หากในอดีตเคยกระทำการทุจริต (วงเล็บ 6, 7 และ 9)

- ส.ว. ควรมี จำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งเหมือนในรัฐธรรมนูญ 2540 แต่บางส่วนเห็นว่าควรมี ส.ว. จำนวน 150 คน โดย 77 คนมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน และ 73 คน มาจากการสรรหา


-------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น :